เมนู

ในสวนนันทนวันฉะนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ดีฉันเข้า
มานมัสการท่านผู้มีความกรุณา มีปัญญารู้แจ้งและ
ถามถึงความไม่มีโรคภัยด้วย เพราะฉะนั้น ดีฉันมี
ใจเลื่อมใสด้วยปีติสุดที่จะหาสิ่งใด ๆ มาเทียบเคียง
ได้ ได้ถวายท่อนอ้อยแก่พระคุณเจ้าในครั้งนั้น.

จบอุจฉุทายิกาวิมาน

อรรถกถาอุจฉุทายิกาวิมาน


อุจฉุทายิกาวิมาน มีคาถาว่า โอภาสยิตฺวา ปฐวึ สเทวกํ ดังนี้
เป็นต้น. อุจฉุทายิกาวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
บทมีอาทิว่า ภควา ราชคเห วิหรติ ทั้งหมดเช่นเดียวกับที่ได้
กล่าวมาแล้ว ในวิมานเป็นลำดับไป แต่ในที่นี้ต่างกันที่นางถวายอ้อย. นาง
ถูกแม่ผัวประหารด้วยตั่งตายในขณะนั้นทันทีแล้ว ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ ในคืนนั้นเอง นางมาปรนนิบัติพระเถระมีรัศมีรุ่งเรือง ดุจ
พระจันทร์และพระอาทิตย์ ยังภูเขาคิชฌกูฏ ให้สว่างไสวไปทั่ว ยืน
ประคองอัญชลีไหว้พระเถระอยู่ ณ ส่วนหนึ่ง. ลำดับนั้น พระเถระถาม
นางด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ท่านยังปฐพีพร้อมด้วยเทวโลกให้สว่างไสวรุ่ง-
เรื่องยิ่ง ด้วยสิริ ด้วยวรรณะ ด้วยยศ และด้วยเดชดุจ
พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ดุจพระพรหมในไตรทศ

เทวโลกพร้อมด้วยพระอินทร์ เราขอถามท่าน ดูก่อน
เทวดาผู้งาม มีหนังสีทอง ตกแต่งงดงาม ท่านคล้อง
มาลัยดอกบัว สวมดอกไม้ทำด้วยแก้วบนศีรษะ นุ่งผ้า
ชั้นยอด ท่านเป็นใครจึงไหว้เรา เมื่อก่อนท่านได้ทำ
กรรมอะไรไว้ด้วยตน ท่านเป็นมนุษย์ในชาติก่อน
สะสมทานและสำรวมในศีล เข้าถึงสุคติมียศ ด้วย
กรรมอะไร.

ดูก่อนเทพธิดา เราถามท่าน ท่านจงบอกว่า
นี้เป็นผลของกรรมอะไร.

ในบทเหล่านั้น บทว่า โอภาสยิตฺวา ปฐวึ สเทวกํ ความว่า ยัง
ปฐพีนี้อันเป็นภูมิภาคที่เข้าไปถึงได้ พร้อมกับอากาศเทวโลกให้รุ่งโรจน์
เพราะรุ่งโรจน์ด้วยรัศมีอันซ่านออกจากข้างภูเขาสิเนรุปนกับรัศมีพระจันทร์
และพระอาทิตย์. อธิบายว่า ทำให้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน คือให้มีความ
รุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน . โยชนาแก้ว่า ยังปฐพีให้สว่างไสว ดุจพระ-
จันทร์และพระอาทิตย์. บทว่า อติโรจสิ ได้แก่ รุ่งเรืองยิ่งนัก. ก็พระ-
เถระกล่าวความรุ่งเรืองยิ่งนักนั้นว่า ด้วยกรรมอะไร ดุจอะไร หรือเพราะ
อะไร มีคำตอบว่า ด้วยสิริเป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า สิริยา ได้แก่
ด้วยความวิเศษมีความงามเลิศเป็นต้น. บทว่า เตชสา ได้แก่ ด้วยอานุภาพ
ของตน. บทว่า อาเวฬินิ ได้แก่ พวงบุปผาทำด้วยแก้ว.
พระเถระถามอย่างนี้แล้ว เทพธิดาจึงตอบด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ. บัดนี้พระคุณเจ้าเข้า
ไปยังเรือนของดีฉัน เพื่อบิณฑบาตในบ้านนี้ แต่นั้น
ดีฉันมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายท่อนอ้อย. มีปีติเป็นล้น
พ้น. ภายหลังแม่ผัวซักไซ้ดีฉันว่า นี่แน่แม่หญิงสาว
เจ้าทิ้งอ้อยไว้ที่ไหน. ดีฉันตอบว่า ฉันไม่ได้ทิ้งและ
ไม่ได้กิน ฉันได้ถวายแก่ภิกษุผู้สงบด้วยตนเองจ๊ะ.
แม่ผัวได้บริภาษดีฉันว่า เอ็งเป็นใหญ่หรือข้าเป็นพระ
แล้วแม่ผัวก็ยกตั่งขั้นทุบดีฉันจนถึงตาย ดีฉันจุติจาก
มนุษยโลกแล้วจึงมาเกิดเป็นเทพธิดา ดีฉันทำกุศล
กรรมนั้น จึงได้เสวยสุขด้วยตน ดีฉันรื่นเริงบันเทิง
ด้วยกามคุณ 5 ดังเหล่าเทพ. ดีฉันอันจอมเทพคุ้ม
ครอง ทวยเทพในไตรทศรักษา เอิบอิ่มไปด้วยกามคุณ
5 จึงได้เสวยความสุขด้วยตนเอง. ผลบุญเช่นนี้ไม่
ใช่เล็กน้อย การถวายอ้อยของดีฉันเป็นผลบุญยิ่งใหญ่
ดีฉันรื่นเริงบันเทิงด้วยกามคุณ 5 กับหมู่เทพทั้งหลาย.
ผลบุญเช่นนี้ไม่ใช่เล็กน้อย การถวายอ้อยของดีฉัน
มีผลรุ่งเรืองมาก จอมเทพคุ้มครอง ทวยเทพในไตร-
ทศรักษา ดุจท้าวสหัสนัยน์ในสวนนันทนวันฉะนั้น.
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดีฉันเข้าไปหาท่านผู้อนุ-
เคราะห์ผู้มีปัญญาแล้วไหว้และถามถึงกุศล แต่นั้น
ดีฉันมีจิตใจเลื่อมใส มีปีติอันล้นพ้นได้ถวายท่อน
อ้อยแก่พระคุณเจ้า ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิทานิ ได้แก่ เทพธิดากล่าวเพราะเป็น
วันที่ล่วงไปแล้วเป็นลำดับ. อธิบายว่า เดี๋ยวนี้. บทว่า อิมเมว คามํ
ได้แก่ ในบ้านนี้นั่นเอง. เทวดากล่าวหมายถึงกรุงราชคฤห์. ดังที่ท่าน
กล่าวว่า บ้านก็ดี นิคมก็ดี เมืองก็ดี ท่านเรียกว่า คาม ทั้งนั้น. อนึ่ง
บทว่า อิมเมว คามํ นี้เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ.
บทว่า อุปาคมิ ได้แก่ เข้าไปแล้ว. บทว่า อตุลาย ได้แก่ ไม่มี
เปรียบ หรือไม่มีประมาณ.
บทว่า อวากิริ ได้แก่ นำออกไป คือทิ้ง หรือทำให้เสียหาย.
บทว่า สนฺตสฺส ได้แก่เป็นผู้สำรวมดี มีกิเลสสงบหรือไม่ถึงความดิ้นรน.
นุ ศัพท์ในบทว่า ตุยฺหํ นุ เป็นนิบาตลงในอรรถอันส่องถึง
ความไม่มีตัวตน. นุ ศัพท์นั้นพึงนำมาประกอบแม้ในบทว่า มม เป็น
มม นุ ดังนี้. บทว่า อิทํ อิสฺสริยํ แม่ผัวกล่าวหมายถึงความเป็น
ใหญ่ในเรือน. บทว่า ตโต จุตา ได้แก่ จุติจากมนุษยโลกนั้น. เพราะ
แม้ไปจากที่ที่ดำรงอยู่ ท่านก็เรียกว่า จุตา ฉะนั้น เพื่อให้ต่างกับจุติ
ท่านจึงกล่าวว่า กาลคตา. อนึ่ง แม้ถึงแก่กรรมแล้ว ก็ยังไม่เกิดในที่ใด
ที่หนึ่ง. ก็แลเมื่อเทพธิดาแสดงว่า ดีฉันถึงความเป็นเทพธิดา จึงกล่าวว่า
อมฺหิ เทวตา ดีฉันเป็นเทพธิดา ดังนี้.
บทว่า ตเทว กมฺมํ กุสลํ กตํ มยา ความว่า ดีฉันทำกรรม
เป็นกุศลเพียงถวายท่อนอ้อยนั้นเท่านั้น. อธิบายว่า ดีฉันไม่รู้อย่างอื่น.
บทว่า สุขญฺจ กมฺมํ ได้แก่ ผลของกรรมอันเป็นความสุข. จริงอยู่ในที่
นี้ท่านกล่าวผลของกรรมว่า กมฺมํ ด้วยลบบทหลังหรือใกล้เคียงกับเหตุ
ดุจในประโยคมีอาทิว่า

กุสลานํ ภิกฺขเว ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญนี้ย่อมเจริญอย่างนี้ เพราะเหตุแห่งการ
สมาทานธรรมเป็นกุศล และในประโยคมีอาทิว่า อนุโภมิ สกํ ปุญฺญํ
ความว่า ข้าพเจ้าเสวยบุญของตนดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กมฺมํ เป็น
ทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ ความว่า กมฺเมน แปลว่า
ด้วยกรรม. อีกอย่างหนึ่ง กรรมเกิดในกรรนชื่อยถากรรม. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่ากรรมเพราะอันบุคคลพึงใคร่ เพราะว่ากรรมนั้นเข้าไปประกอบด้วย
กาม เพราะติดในความสุข จึงชื่อว่า กมนียะ เพราะควรใคร่. บทว่า
อตฺตนา คือ ด้วยตนเอง อธิบายว่า ด้วยตนเองโดยความเป็นอิสระ
เพราะตนเองมีอำนาจ. บทว่า ปริจารยามหํ อตฺตานํ ในคาถาก่อน
กล่าวว่า อตฺตนา ควรตั้งบทว่า อตฺตานํ เพราะเปลี่ยนวิภัตติ.
บทว่า เทวินฺทคุตฺตา ได้แก่ ท้าวสักกะจอมเทพคุ้มครอง หรือ
คุ้มครองดุจจอมเทพเพราะมีบริวารมาก. บทว่า สมปฺปิตา ได้แก่ เอิบอิ่ม
ด้วยดี คือถึงพร้อมด้วยดี. บทว่า มหาวิปากา คือ มีผลไพบูลย์.
บทว่า มหาชุติกา คือ มีเดชมาก มีอานุภาพมาก.
บทว่า ตุวํ คือ ซึ่งท่าน. บทว่า อนุกมฺปกํ คือ มีความกรุณา.
บทว่า วิทุํ คือ มีปัญญา. อธิบายว่า ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมี. บทว่า
อุเปจฺจ แปลว่า เข้าไปหา. บทว่า วนฺทึ ได้แก่ กราบด้วยเบญจางค-
ประดิษฐ์. ข้าพเจ้าได้ถามถึงกุศลคือความไม่มีโรค. อธิบายว่า ข้าพเจ้า
ระลึกถึงกุศลนี้ด้วยปีติอันล้นพ้น. บทที่เหลือมีนัยดังได้กล่าวแล้วในหน
หลังนั่นแล.
จบอรรถกถาอุจฉุทายิกาวิมาน

3. ปัลลังกวิมาน


ว่าด้วยปัลลังกวิมาน


[31] พระมหาโมคคัลลานเถระ ถามนางเทพธิดานั้นด้วยคาถา
ความว่า
ดูก่อนนางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก ท่านอยู่
บนที่นอนใหญ่เป็นบัลลังก์อันประเสริฐ อันบุญกรรม
ตกแต่งให้วิจิตรด้วยแก้วมณีและทองคำ โรยดอกไม้
ไว้เกลื่อนกล่น อนึ่ง รอบ ๆ ตัวท่าน เหล่านางเทพ-
อัปสรมีร่างสมทรง แผลงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ ฟ้อนรำ
ขับร้อง ให้ท่านร่าเริงบันเทิงใจอยู่เป็นนิจ ท่านเป็น
นางเทพธิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์อานุภาพมาก ครั้งเมื่อ
ท่านยังเป็นมนุษย์อยู่ได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านเป็นผู้มี
อานุภาพอันรุ่งเรือง และมีรัศมีกายสว่างไสวไปทั่ว
ทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญกรรมอะไร.

นางเทพธิดานั้นตอบว่า
ดีฉันเมื่อเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก เป็น
บุตรสะใภ้ในตระกูลอันมั่งคั่งตระกูลหนึ่ง ดีฉันเป็น
ผู้ไม่โกรธ เป็นผู้ประพฤติอยู่ใต้บังคับบัญชาของสามี
ไม่ประมาทในวันอุโบสถ เมื่อดีฉันยังเป็นสาวอยู่
เป็นผู้ภักดีด้วยการไม่ประพฤตินอกใจสามีหนุ่ม ดีฉัน